(รีวิวศัลยกรรม) งานแก้ไขหน้าอก และดูดไขมัน S-curve รูปร่างใหม่ในฝัน ฝีมือคุณหมอฮวังดงยอน


สวัสดีค่ะ
👄 นานะมาแล้วค่ะ 👄

เรื่องรูปร่างเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้หน้าตาของสาวๆเลยนะคะ
การมีหน้าอกที่สวยงาม แต่มีเอวที่คอดและบอบบาง คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝัน แต่ในผู้หญิงที่อายุมากขึ้นหรือผ่านการมีบุตรมา ปัญหาใหญ่คือการหย่อนคล้อยของหน้าอก และไขมันที่สะสมรอบลำตัวจนทำให้สัดส่วนดูไม่สวยงามและไม่มั่นใจ



เคสของคนไข้ท่านนี้ เคยทำศัลยกรรมหน้าอกจากที่อื่นมาแล้ว แต่กลับทำให้หน้าอกดูใหญ่แบบหย่อนยาน รูปทรงไม่สวย ทำให้ใส่เสื้อผ้าลำบาก และขาดความมั่นใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีไขมันบริเวณรอบลำตัวที่หนาทำให้สัดส่วนไม่สวยงาม

ปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขแบ่งเป็น 2 ส่วน


1. ศัลยกรรมหน้าอก - ปัญหาหน้าอกที่หย่อนคล้อย และไม่ได้รูปทรงจากการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกที่เคยผ่านมา ซึ่งปัญหาคือ คนไข้ได้รับการใส่ซิลิโคนขนาดใหญ่เกินไป ไม่ถูกตำแหน่ง และไม่มีการกระชับหน้าอกก่อนจะทำการเสริม จึงทำให้ดูใหญ่และหย่อนยานทั้งๆที่เคยผ่านศัลยกรรมหน้าอกมาแล้ว

2. ดูดไขมัน - ปัญหาไขมันรอบลำตัว มีปริมาณไขมัน หน้าท้องบน หน้าท้องล่าง เอวด้านข้าง และเอวด้านหลังจำนวนมาก และเป็นไขมันใต้ผิวหนังที่สามารถดูดไขมันออกได้ ไขมันส่วนเกินนี้ทำให้สัดส่วนของคนไข้ไม่สวยงาม คุณหมอได้ทำการตรวจเช็คปริมาณไขมันด้วยการใช้เครื่องวัดปริมาณไขมัน ทำให้ทราบว่าไขมันส่วนเกินในแต่ละส่วนของคนไข้มีปริมาณเท่าใด

เอวผอมบางจับแล้วไร้ไขมัน มีทรวดทรงที่สวยงามเว้าเร้าใจ คือสิ่งที่สาวๆอยากได้กันเสมอ การดูดไขมัน (Liposuction) คืออะไร? การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นศัลยกรรมการตกแต่งรูปร่างให้ได้สัดส่วนที่ต้องการ และกำจัดไขมันส่วนเกินออก ซึ่งไขมันในร่างกายหลายส่วนที่สะสมมานานเป็นไขมันที่กำจัดออกได้ยาก ดังนั้นการดูดไขมันคือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกายเพื่อให้ได้สัดส่วนที่สวยงามค่ะ การดูดไขมันเป็นการปรับสัดส่วนและทรวงทรงให้ได้ตามที่คนไข้ต้องการ และเป้าหมายไม่ใช่การลดน้ำหนักนะคะ แต่การดูดไขมันจะทำให้ได้สัดส่วนในฝันค่ะ และควบคุมได้ตามต้องการ ยกตัวอย่างเช่นการลดน้ำหนักคนไข้จะไม่สามารถควบคุมได้ว่าอยากให้สัดส่วนช่วงไหนลงบ้าง แต่การดูดไขมันจะเป็นการศัลยกรรมที่ทำให้คนไข้ได้รูปร่างตามต้องการมากที่สุดค่ะ เช่น ผู้ชายต้องการลดไขมันหน้าท้องเพื่อให้เห็น sixpack หรือผู้หญิงที่ต้องการให้ขาเล็กเรียว แขนเรียวสวย ช่วงตัวเป็นทรงนาฬิกาทรายและไม่มีไขมันส่วนเกิน ในเรื่องของรูปร่างการดูดไขมันคือคำตอบที่ดีสำหรับคนไข้ค่ะ


ก่อนผ่าตัดแก้ไข


ปัญหาของรอบเอว และ วิธีการดูดไขมัน S - curve เราสามารถแบ่งไขมันในร่างกายเราออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ 1. Visceral fat (ไขมันช่องท้อง) เป็นไขมันที่แทรกอยุ่ตามอวัยวะและปกคลุมอวัยวะภายใน เป็นพื้นที่ส่วนแรกที่ไขมันจะมาสะสม แต่เวลาเผาผลาญออกจะถูกใช้เป็นส่วนสุดท้าย ไขมันในส่วนนี้มีผลโดยตรงกับสุขภาพและอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เกิดโรคต่างๆหลายโรค เพราะเป็นไขมันที่แทรกซึมเข้าสู่อวัยวะหลายส่วน เช่น ตับ และหลอดเลือด เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ รวมถึงภาวะภูมิแพ้ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้ไม่แข็งแรง และร่างกายเสื่อมสภาพเร็วกว่าอายุจริง การลดไขมันส่วนนี้จะต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารเท่านั้นค่ะ 2. Subcutaneous fat (ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง) ไขมันที่เห็นตาม ท้อง เอว สะโพก และ ต้นขาส่วนบน คือไขมันส่วนนี้ค่ะ เป็นส่วนที่ไขมันจะมาสะสมเป็นลำดับที่สองถัดจากไขมันช่องท้อง ซึ่งไขมันในส่วนนี้ คือส่วนที่คุณหมอสามารถทำการดูดไขมันออกได้ค่ะ หลักการของการดูดไขมันของศัลยแพทย์ฮวังดงยอน 100% handmade ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยหลากหลายชนิดมากเพียงใด " การดูดไขมัน ที่ได้ผลที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับฝีมือ และหยาดเหงื่อของศัลยแพทย์เจ้าของไข้ " ด้วยประสบการณ์ใน การดูดไขมัน ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของศัลยแพทย์ที่ นานะ เราสัญญาว่าจะ ดูดไขมัน เพื่อสร้างรูปทรวดทรงที่สวยงาม และยังสร้างความพึงพอใจอันสูงสุดจากการ ดูดไขมันร่างกาย ที่ นานะ ค่ะ " ดูดมากที่สุด เหลือน้อยที่สุด " เหลือปริมาณไขมันที่จำเป็น ในบริเวณชั้นใต้ผิวหนังไว้ และกำจัดไขมันส่วนเกินออกให้มากที่สุด เป็นเทคนิคเฉพาะสำหรับการปรับสรีสระร่างกายในบางส่วนนะคะ " ดูแลตั้งแต่ก่อนผ่าตัดไปจนถึงการควบคุมอาหาร " หลังจากเสร็จสิ้นการผ่าตัดก็เริ่มโปรแกรม ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด มีที่ปรึกษาส่วนตัวที่จะช่วยดูแลเรื่อง การควบคุมน้ำหนัก และทางศัลยแพทย์จะสั่งยาช่วยเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิผลที่ดีที่สุด ในคนไข้เคสนี้ คุณหมอจะใช้หลักการ "Water Jet"
ในการดูดไขมันหน้าท้อง เอวข้าง และ เอวหลังค่ะ วิธีนี้คือการใช้พลังงานน้ำในการแยก fat cell ออกจากผิวหนัง เป็นวิธีที่คนไข้จะเจ็บน้อยที่สุด และไขมันที่ดูดออกมาเป็นไขมันที่สภาพสมบูรณ์ ยังมีชีวิต และระบบนี้ปลอดเชื้อเป็นระบบปิดสามารถเอาไขมันไปฉีดในส่วนอื่นๆของร่างกายได้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการนำไขมันไปเติมเต็มส่วนอื่นๆ ดังนั้นวิธีนี้ คนไขัจะเจ็บน้อย นำไขมันไปเติมส่วนอื่นได้ ผิวไม่เป็นคลื่นหลังจากการดูดไขมัน และสามารถดูดไขมันอย่างซอกซอนไปในจุดที่ดูดยากได้ ⇛ เหตุผลที่คุณหมอเลือกใช้การดูดไขมันแบบ Water Jet ⇚ อันดับแรกเพราะสาวๆนิยมนำไขมันที่ดูดออกมาไปเติมเต็มส่วนต่างๆ เช่นใบหน้า หน้าอก เพราะได้เซลล์ไขมันที่มีชีวิตและสมบูรณ์แบบทีสุด และทำให้ลูกค้าเจ็บน้อยหรือไม่เจ็บเลย ไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนวิธีอื่นๆด้วยค่ะ หลังจากดูดคนไข้สามารถกลับที่พักได้เลย และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปรกติค่ะ แต่คุณหมอฮวังดงยอน ผู้อำนวยการ รพ.นานะ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันและหน้าอก คุณหมอจะใช้วิธีการดูดไขมันหลายวิธีรวมกันขึ้นกับรูปร่าง ปริมาณไขมัน และตำแหน่งไขมันของคนไข้ เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด และคนไข้ต่างพึงพอใจผลลัพท์จากการดูดไขมันของคุณหมอเป็นอย่างยิ่งค่ะ ส่วนข้อเสียของการดูดไขมันแบบ Water Jet คือ อาจมีน้ำหรือไขมันตกค้างได้ แต่ไม่น่าเป็นกังวลค่ะ เพราะด้วยฝีมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเรานั้น คุณหมอสามารถระบายน้ำเกลือออกมากได้เกือบหมดทำให้ไม่ตกค้างในร่างกาย และเย็บปิดแผลเรียบร้อยหลังผ่าตัด และเราจะใส่ชุดรัดให้ลูกค้าตั้งแต่ในห้องผ่าตัดเลยนะคะ ลูกค้าจะตื่นมาพร้อมกับใส่ชุดกระชับเรียบร้อย ดังนั้นลูกค้าจะไม่ต้องทนเจ็บจากการดึงชุดกระชับเวลาสวมใส่ค่ะหลังดูดไขมัน 3 วัน แผลจากการดูดไขมันแบบ Water Jet 👀 การดูดไขมันด้วยวิธีนี้แทบจะไม่เป็นแผลเป็นเลยนะคะ แผลที่เจาะเป็นจุดเล็กแค่ 2-3 mm เท่านั้นค่ะเพราะว่าเป็นวิธีที่นุ่มนวลอ่อนโยนมากที่สุดทำให้ไม่เกิดพังผืดและการอักเสบด้วยค่ะ แถมยังเจ็บน้อยและฟื้นตัวได้ไว แต่อย่างไรก็ตามคนไข้จะต้องปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันเป็นศัลยกรรมที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงค่ะ การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลจึงสำคัญเป็นอย่างมาก 👉 สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูดไขมัน 👈 ดังนั้น อันดับแรกที่ต้องตัดสินใจคือ แพทย์ที่จะทำการผ่าตัดดูดไขมันให้กับเราค่ะ ตรวจสอบว่าแพทย์ท่านนั้นๆเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์จริงหรือไม่ และเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลที่ถูกต้อง เพราะถ้าหากทำกับแพทย์และคลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือก็อาจเกิดความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ การดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน หลังจากดูดไขมันแล้ว อย่าลืมว่าเราต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายนะคะ การใส่ชุดกระชับสัดส่วนสำคัญอย่างมากเลยค่ะ ควรใส่ 1-6 เดือน เพื่อให้ผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันนั้นกระชับมากยิ่งขึ้นนะคะ

ปัญหาของหน้าอก และ วิธีการผ่าตัดแก้ไข ก่อนอื่น เรามาดูกันก่อนว่า เหตุผลใดบ้างที่ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่ต้องการผ่าตัดแก้ไขหน้าอกที่เคยทำศัลยกรรมไปแล้ว หลักๆจะเกิดจาก 5 ปัญหาดังนี้ค่ะ 1. การเกิดพังผืดแข็ง หดรัดรอบซิลิโคนหน้าอก เรียกว่าแคปซูล (Capsular) ซึ่งหากมีพังผืดหนามากจะทำให้รูปทรงหน้าอกเปลี่ยนไปไม่สวยงาม และจะรู้สึกได้ว่าหน้าอกแข็งขึ้นเวลาสัมผัส ซึ่งอาจจะมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย 2. หน้าอกมีขนาดไม่เท่ากัน โดยปกติแล้วหน้าอกทั้งสองข้างจะมีลักษณะไม่เท่ากันอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีการเสริมหน้าอกไปแล้ว อาจทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทั้งนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมด้วย เช่น พื้นที่รอบ ๆ ของตัวซิลิโคนไม่พอดีหรือเกิดการเคลื่อนที่ของตัวซิลิโคนร่วมด้วย 3. การเกิดเต้านมสองลอน มักเกิดในกรณีที่มีการผ่าตัดเสริมหน้าอก โดยใช้ซิลิโคนขนาดใหญ่มากกว่าขนาดตัว ทำให้เต้านมขนาดเกินขอบด้านล่าง และเกิดรอยพับของเต้านมใหม่ต่ำกว่ารอยพับธรรมชาติเดิม จึงทำให้หน้าอกดูเป็นลอนเป็นสองชั้น 4. หน้าอกมีขนาดไม่เท่ากัน ขนาดไม่เหมาะสม 5. หน้าอกหย่อนคล้อย ทำให้รูปทรงหน้าอกเปลี่ยนไปจากเดิม จึงต้องการผ่าตัดแก้ไขให้สวยงาม ต้องการเปลี่ยนรูปทรงหรือขนาดของหน้าอก ที่เคยเสริมอยู่ในปัจจุบัน จึงต้องการผ่าตัดแก้ไขหน้าอกเพื่อเพิ่มขนาด/ลดขนาดซิลิโคน หรือเปลี่ยนรูปทรงของซิลิโคนใหม่
ปัญหาในเคสคนไข้ท่านนี้ หน้าอกขนาดไม่พอดี ทรงไม่สวย และหน้าอกหย่อนคล้อย

การเสริมหน้าอกชนิดนี้เป็นการนำเอาเทคนิคส่องกล้องโดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า Endoscopic เป็นตัวช่วยในการผ่าตัด ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้จะถูกสอดผ่านแผลบริเวณรักแร้ขนาด 2-3 เซนติเมตร ซึ่งบริเวณส่วนปลายจะมีกล้องที่ถูกต่อเข้ากับจอมอนิเตอร์เป็นตัวนำทาง ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นเส้นเลือดและเนื้อเยื่อภายในได้ชัดเจน แล้วจึงใช้อุปกรณ์พิเศษที่จะช่วยเปิดทางเนื้อเยื่อและเส้นเลือดให้เป็นโพรงภายใน แล้วจึงนำซิลิโคนสำหรับเสริมหน้าอกใส่เข้าไป

" คุณหมอฮวังดงยอน จะใช้การผ่าตัดหน้าอกโดยการส่องกล้องแบบ 4K "
ข้อดีของการใช้กล้อง Endosopic ในการผ่าตัดหน้าอก 1. แผลผ่าตัดเล็ก การผ่าตัดชนิดนี้เหมาะกับคนที่ต้องการซ่อนรอยแผลจากการผ่าตัด เนื่องจากแผลจะอยู่บริเวณรักแร้และบาดแผลมีขนาดเล็ก ดูแลรักษาแผลได้โดยง่าย อีกทั้งหากไม่สังเกตอาจมองไม่เห็นรอยแผลอีกด้วย 2. ซิลิโคนไม่ไหลออกข้าง
3/ สามารถเลือกการเสริมหน้าอกแบบใต้กล้ามเนื้อได้ ซึ่งในการเสริมหน้าอกแบบใต้กล้ามเนื้อนั้นจะไม่เกิดริ้วหรือคลื่นบริเวณผิวโดยรอยหน้าอก และมองไม่เห็นขอบซิลิโคนภายใน โดยหากเสริมหน้าออกแบบเหนือกล้ามเนื้อนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้
4. มองเห็นเส้นเลือดภายในร่างกายระหว่างผ่าตัด ซึ่งจะทำให้เกิดความแม่นยำสูง มั่นใจได้ว่าซิลิโคนจะถูกวางอย่างตรงตำแหน่ง เสียเลือดน้อย หรือหากเกิดเหตุที่ทำให้เลือดออกมากกว่าปกติแล้ว แพทย์จะสามารถห้ามเลือดได้ทันที ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างผ่าตัดได้มากขึ้น 5. ลดความเสี่ยง พังผืดหัวนมชาถาวร 6. ลดปัญหาการหดรั้งรอบซิลิโคนหลังจากการเสริมหน้าอกได้ 7. เจ็บน้อย จะรู้สึกแค่ตึง ๆ 8. ไม่ต้องมีสายระบายเลือด เสียเลือดน้อย 9. ไม่มีรอยฟกช้ำที่หน้าอกหลังผ่า
การผ่าตัดยกกระชับหน้าอก ในกรณีหน้าอกหย่อนคล้อย

รูปแสดงระดับความหย่อนคล้อยของหน้าอก


รูปแบบการกรีดในการยกกระชับหน้าอก 3 รูปแบบ

ขั้นตอนการผ่าตัดยกกระชับหน้าอก

1. ติด Surgical Marker (เครื่องหมายระบุตำแหน่งในการผ่าตัด) ที่เต้านมก่อนทำการผ่าตัด

ศัลยแพทย์จะใช้ Surgical marker ในการกำหนดการลงมีดผ่าตัด การกำหนดตำแหน่งนี้เป็นเสมือนแผนที่นำทางสำหรับศัลยแพทย์ เนื่องจากเต้านมของคุณจะเปลี่ยนรูปร่างไปเมื่อคุณนอนราบบนเตียงผ่าตัด เครื่องหมายระบุตำแหน่งนี้สำคัญต่อผลการผ่าตัดที่ดี สำหรับการผ่าตัดยกกระชับเต้านมแล้ว การระบุตำแหน่งจะใช้บอกตำแหน่งของหัวนมและปานนมของคุณ ซึ่งคุณคงจะไม่อยากให้มันอยู่สูงเกินไป ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณก็อาจจะใส่เสื้อคอวี เสื้อคอคว้าน หรือเสื้อคอวีลึกไม่ได้


2. ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ การผ่าตัดยกกระชับเต้านมของ รพ.นานะ จะใช้การดมยาสลบ โดยวิสัญญีแพทย์และศัลยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดว่าจะใช้การดมยาชนิดไหน โดย วิสัญญีแพทย์ จะอยู่ดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดตลอดการผ่าตัด


3. เตรียมเต้านมก่อนการผ่าตัด เต้านมและบริเวณรอบ ๆ จะถูกทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนที่จะทำการผ่าตัด โดยการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อของเต้านมหรือแผลผ่าตัดลงได้


4. การลงแผลผ่าตัด การลงแผลผ่าตัดนั้นทำตามตำแหน่งที่ได้ระบุเอาไว้ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด โดยมีรูปแบบการลงแผลผ่าตัดหลายแบบสำหรับการผ่าตัดยกกระชับเต้านม รูปแบบของแผลผ่าตัดของคุณจะขึ้นอยู่กับว่าเนื้อเต้านมของคุณมีมากแค่ไหน และตำแหน่งของหัวนมและลานนมของคุณ รูปแบบของแผลผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดยกกระชับเต้านมนั้นเหมือนกับของการผ่าตัดลดขนาดเต้านม ทั้งนี้ รูปแบบของแผลผ่าตัดอาจเป็นดังนี้

สำหรับคนไข้ที่หน้าอกหย่อนคล้อยไม่มาก จะใช้การลงแผลเป็นรูปโดนัท (Donut incision) หรือเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ Periareolar incision ซึ่งแผลผ่าตัดประเภทนี้จะลงมีดที่รอบขอบหัวนม

สำหรับคนไข้ที่หน้าอกหย่อนคล้อยปานกลาง จะใช้การลงแผลเป็นรูปรูกุญแจ (Keyhole incision) หรือเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ lollipop incision ซึ่งแผลผ่าตัดประเภทนี้จะลงมีดที่รอบขอบหัวนมและเลยลงมาในแนวตรงจากหัวนมลงมาที่รอยพับของฐานเต้านม (breast crease) 

สำหรับคนไข้ที่หน้าอกหย่อนคล้อยเป็นอย่างมาก จะใช้การลงแผลเป็นรูปสมอ (Anchor incision) โดยการลงแผลผ่าตัดชนิดนี้จะใช้กันมากที่สุด โดยประกอบไปด้วยสามส่วน การลงแผลผ่าตัดประเภทนี้ก็เหมือนกันกับประเภทอื่นๆ คือต้องลงแผลผ่าตัดรอบขอบลานหัวนม และเช่นเดียวกับการลงแผลเป็นรูปรูกุญแจคือต้องลงมีดเลยตรงลงมาจากบานหัวนมมายังรอยพับของฐานเต้านม และรอยที่สามจะอยู่ตามแนวรอยพับของฐานเต้านม หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ inframmary fold ซึ่งจะเชื่อมต่อกับรอยแผลที่ยาวตรงลงมา ทำให้เกิดรูปตัว T หัวกลับ ความยาวของแผลผ่าตัดนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณของผิวหนังที่ต้องเอาออกเพื่อให้เต้านมยกตัวขึ้น

รายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับขั้นตอนนี้คือ สามารถทำให้ลานนมของคุณที่กว้าง และยิ่งขยายออกไปจากการหย่อนคล้อยของเต้านมนั้นเล็กลงได้ ซึ่งจะต้องใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Areolatome ซึ่งนิยมเรียกกันว่า Cookie cutter มากกว่า เครื่องมือนี้มีรูปร่างเป็นวงกลม โดยตรงกลางจะมีรูเอาไว้ใช้ตัดเพื่อปรับแต่งหัวนมให้เหมาะสม ทั้งนี้เครื่องมือชนิดนี้จะมีในขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 38 mm หรือ 42 mm โดยจะวางให้จุดกึ่งกลางอยู่ที่หัวนม และขอบนอกจะถูกกำหนดด้วยการทำรอยตำแหน่งไว้ หรือจะใช้การกดกับเต้านมให้แน่น เพื่อให้เกิดรอยก็ได้ หลังจากนั้นศัลยแพทย์จะใช้มีดผ่าตัดตัดตามรอยที่สร้างไว้


5. ผิวหนังเต้านมส่วนเกินจะถูกตัดออก และหัวนมจะถูกยกขึ้น ผิวหนังส่วนเกินของเต้านมจะถูกตัดออกด้วยมีดผ่าตัดหรือการใช้จี้ ผิวหนังและไขมันส่วนที่เหลือจะถูกจัดเรียงใหม่ และถูกเย็บตรึงให้อยู่ในตำแหน่งนั้นเพื่อสร้างเต้านมที่ดูยกกระชับอ่อนกว่าวัย ซึ่งหัวนมและลานหัวนมจะถูกยกให้อยู่สูงขึ้น


6. การปิดแผลผ่าตัด หลังจากกระบวนการที่ว่ามาแล้ว แผลผ่าตัดเต้านมก็จะถูกเย็บปิด โดยผิวหนังของคุณประกอบไปด้วยชั้นหลายชั้น ซึ่งศัลยแพทย์ก็จะเย็บจากชั้นที่ลึกกว่าก่อน และค่อย ๆ เย็บปิดถัดขึ้นมาเรื่อย ๆ และเนื่องจากการเย็บนั้นทำที่ชั้นใต้ผิวหนัง ดังนั้นก็จะไม่เห็นรอยเย็บที่ผิว การเย็บปิดแผลชั้นนอกสุด รพ.นานะ จะใช้กาวในการปิดแผลค่ะ (Topical Skin Adhesive) ซึ่งจะทำให้คนไข้สามารถอาบน้ำได้เนื่องจากกาวมีคุณสมบัติปิดและปกป้องแผล กันน้ำได้อย่างดี  และลดการเกิดแผลเป็นจากการเย็บแผลได้ค่ะ


คำถามยอดฮิต กาวที่ใช้ในการปิดแผลด้านนอกสุดคือ?
ที่ รพ.นานะ คุณหมอของเรา จะใช้กาวไฟบรินค่ะ เป็นกาวที่เลียนแบบกลไกการแข็งตัวของเลือด โดยจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ ไฟบริโนเจน/แฟคเตอร์ XIII และทรอมบิน ซึ่งเมื่อผสมองค์ประกอบ 2 ส่วนเข้าด้วยกันจะทำให้ไฟบริโนเจนเปลี่ยนแปลงเป็นไฟบรินและเชื่อมขวางแข็งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ข้อด้อยของกาวประเภทนี้คือ ต้องมีการจัดเก็บเฉพาะที่อุณหภูมิต่ำ ทำให้ยุ่งยากและต้องเสียเวลาเตรียมการก่อนการใช้งาน คุณหมอของเราจะเย็บด้านในด้วยไหมละลายหลายชั้นเพื่อให้แข็งแรงและไม่มีการแยกของแผล ก่อนที่จะสมานแผลด้านนอกสุดด้วยกาวนะคะ ดังนั้นแผลของคนไข้จะมีความแข็งแรง ไม่มีการปริหรือแยกได้ง่ายๆแน่นอนค่ะ




การผ่าตัดเปลี่ยนขนาดซิลิโคนหน้าอก

เคสนี้ เป็นการผ่าตัดแก้ไขนะคะ ซึ่งแผลเก่าของคนไข้อยู่ใต้ราวนม ดังนั้นคุณหมอจึงผ่าในตำแหน่งเดิมเพื่อไม่ให้มีแผลเพิ่มเติม ข้อดีของการผ่าตัดบริเวณนี้คือ แผลผ่าตัดดูแลง่าย เพราะเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ระยะฟื้นตัวค่อนข้างน้อย แต่ข้อเสียคือแผลมีขนาดใหญ่ประมาณ 3-4 เซนติเมตร และสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าตำแหน่งอื่นๆ




การผ่าตัดแบบวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ การวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อหน้าอกจะดูเป็นธรรมชาติที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย วางแล้วมองไม่เห็นขอบของถุงซิลิโคน เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกถึงเนื้อหน้าอกได้เต็มที่ เพราะถุงซิลิโคนจะซ่อนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ การเสริมใต้กล้ามเนื้อจะค่อนข้างเจ็บแผลในระยะแรก แต่จะลดโอกาสการเกิดพังผืดได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่คนไทยมีเนื้อหน้าอกน้อย การเสริมในตำแหน่งนี้จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
กระบวนการผ่าตัดเสริมหน้าอก เมื่อเตรียมความพร้อมร่างกายแล้ว ศัลยแพทย์จะเริ่มลงมือผ่าตัดตามแผนการที่ได้วางไว้ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ในเคสของการผ่าตัดแก้ไขขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นแพทย์จะให้พักค้างคืนที่โรงพยาบาลประมาณ 1 วัน เพื่อเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ อาการปวด บวมช้ำ อาจเกิดขึ้นได้ แต่จะหายเป็นปกติภายใน 1-2 เดือน
หลังการผ่าตัดและการดูแลหลังการยกกระชับ และแก้ไขซิลิโคนหน้าอก 1. การดูแลแผลผ่าตัด ในช่วงสัปดาห์แรกสามารถอาบน้ำได้ เนื่องจากแพทย์จะทำการปิดฟิล์มกันน้ำ แต่หลีกเลี่ยงการลงไปแช่ในน้ำหรือว่ายน้ำในสระ หลังจากพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กและแผลหายดีแล้วจะมีการแนะนำให้ใช้ครีมทาแผลเป็นหรือแผ่นซิลิโคนปิดแผลเป็น 2. การดูแลหน้าอกหลังใส่ซิลิโคน แนะนำให้ใส่บราชนิดไม่มีโครงอย่างน้อย 1 เดือน หลีกเลี่ยงการกดทับหรือกระแทกบริเวณหน้าอก และการออกกำลังกายที่ใช้แขนมากในช่วง 1 เดือนแรก 3. การดูแลอื่น ๆ ได้แก่งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ รวมทั้งของหมักดอง อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด 4.การดูแลในระยะยาว หมั่นตรวจเช็กหน้าอกด้วยตัวเองและตรวจแมมโมแกรมตามกำหนด
วันที่ 3 หลังผ่าตัดระบมนิดๆค่ะ

วันที่ 7 หลังผ่าตัดเริ่มบวมแล้วค่ะ

วันที่ 14 หลังผ่าตัด กำลังจะเริ่มยุบแล้วค่ะ

วันที่ 30 หลังผ่าตัด ยุบไปประมาณ 40% แล้วค่ะ

วันที่ 60 หลังผ่าตัด ยุบไปประมาณ 50% แล้วค่ะ

วันที่ 90 หลังผ่าตัด ยุบไปประมาณ 70% แล้วค่ะ


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 
และปรึกษาผ่านทางไลน์ @nanahospital.th (มี@ด้วยค่ะ) 
Add LINE คลิ๊กที่ปุ่ม >>เพิ่มเพื่อน
YOUTUBE คลิ๊กที่ปุ่ม >>

 LINE: @nanahospital.th
 IG: nanahospital.th
TWITTER: th_nanahospital


FREE 📣ล่าม
FREE 📣คืน Tax Refund
FREE 📣รถรับ-ส่ง
FREE 📣ที่พัก
FREE 📣ทรีทเม้นต์ลดบวมหลังผ่าตัด





NANA Hospital
Location : 492 Gangnam-daero, Gangnam-gu, Seoul, South Korea
Line ID : @nanahospital.th
Phone number: +82-70-5202-8847 (Thai hotline) 

ความคิดเห็น